เมืองบาดาลใครว่าไม่มีจริง
หลวงปู่คำคะนิง เที่ยวเมืองนาค
หลวงปู่คำคะนิง จุลละมณี เป็นชาวคำม่วน แขวงคำม่วน ประเทศลาว แรกเริ่มเดิมทีก่อนจะเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์นั้น มีครอบครัวลูกเมียเป็นฝั่งเป็นฝามาก่อน
แต่พออายุได้ 30 ปีก็เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือน จึงอำลาลูกเมียออกบวชเป็นฤๅษีดาบส ท่องเที่ยวธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลานานถึง 15 ปี ไม่เคยเข้าอยู่หมู่บ้านเลย อยู่แต่ในป่าเป็นวัตร ถือสัจจะเคร่งในศีลฤๅษีโยคี ฝึกตนอย่างเคร่งเครียดละเว้นความชั่วทุกประการ
7 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง 15 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง เป็นการบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อพิสูจน์กำลังใจและความทรหดอดทนของตนว่า มีความกลัวตายไหม ? อาลัยใยดีในสังขารร่างกายขนาดไหน ?
จากการปฏิบัติตนแบบฤๅษีชีไพรอย่างยิ่งยวดนี้เอง ทำให้ท่านพบกับความศานติสงบกายสงบจิตอย่างล้ำลึก มีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ในองค์ฌานสมาธิ เป็นพระฤๅษีผู้แก่กล้าฌานสมาบัติ สามารถเข้าฌานได้นานวัน โดยไม่อ่อนเพลีย ไม่หิวโหย
ร่างกายกระชุ่มกระชวยแข็งแรงเป็นปกติ สามารถเดินธุดงค์ขึ้นเขาลงห้วยได้เหมือนคนหนุ่มฉกรรจ์ เพียงแต่ว่าร่างกายไม่อ้วน ร่างกายผอมเกร็ง แข้งขามือกำได้รอบ แต่ทว่าแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ ไปไหนมาไหนในป่าในถ้ำ สัตว์ป่าก็เป็นมิตรไม่กล้ามาทำอันตราย ด้วยอำนาจเมตตาที่แผ่ออกมาจากฌานสมาธิ
อยู่แต่ในป่าในถ้ำนับร้อยนับพันถ้ำในภูเขาแดนลาว เสวยสุขในฌานจนเบื่อหน่าย เห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์ ไปสู่มรรค ผลนิพพาน หลวงปูคำคะนิงจึงได้ลาเพศฤๅษีดาบสเข้าสู่พระพุทธศาสนาอุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อปฏิบัติธรรมสูงทางพ้นทุกข์อันถูกต้องร่องรอย
หลวงปู่คำคะนิงได้ทราบจากคำเล่าลือของชาวบ้านและพระธุดงค์ว่า ณ ที่ถ้ำมืดใกล้กับภูปัง ฝั่งไทยเขตโขงเจียม อยู่เลยอำเภอบ้านด่านขึ้นไปทางเหนือนั้น เป็นถ้ำ “เมืองลับแล” หรือที่ชาวบ้านเรียก “ชาวบังบด” “ถ้ำมืด” นี้เป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์มี เหล็กไหล ชาวเมืองลับแลหวงแหนมาก แต่วันดีคืนดี ใครมีวาสนาหลงเข้าไปในถ้ำเมืองลับแลที่ว่านี้ จะได้รับแก้วแหวนเงินทองจากชาวลับแล หรือไม่ก็ได้พระทองคำมาบูชา
ลึกลงไปใน “ถ้ำมืด” เป็นนครเร้นลับใต้พิภพ คือเมืองบาดาลของพญานาค อยู่ใต้แม่น้ำโขง เป็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร ถ้าเข้าไปจากถ้ำฝั่งไทยจะลอดไปใต้แม่น้ำโขง เป็นอุโมงค์กว้างใหญ่และมีทางแยกไปสลับซับซ้อนคล้ายรวงผึ้ง สามารถจะทะลุขึ้นฝั่งโขงด้านประเทศลาว
อุโมงค์บางสายทะลุไปออกแก่งลี่ผีสีทันดร ระยะทางนับร้อยกิโลเมตร อุโมงค์บางสายซึ่งเป็นเมืองบาดาลนี้ไปทะลุออกเมืองแกวเมืองญวน ซึ่งพระธุดงค์หลายรูปได้นั่งทางในตรวจสอบด้วยกระแสญาณแล้ว เห็นตรงกันว่าเป็นความจริง ได้มีชาวบ้านพวกแสวงหาทรัพย์สินโบราณสมบัติปู่โสมหลายคณะ ได้เข้าไปค้นหาสมบัติในถ้ำมืดนี้ ปรากฏว่า เป็นถ้ำกว้างใหญ่ลักษณะถ้ำตัน ไม่มีอุโมงค์ลับซับซ้อน ไม่มีเมืองพญานาคไม่มีเหล็กไหล ไม่มีทรัพย์สมบัติโบราณแต่อย่างใดเลย
พวกคนโลภโมโทสันทั้งหลายต่างผิดหวังพากันด่าว่านินทาพระสงฆ์องค์เจ้าหาว่าโกหกหลอกลวงนั่งหลับตาพยากรณ์ส่งเดชอวดอุตริมนุสธรรม ด่าว่านินทาพระสงฆ์องค์เจ้า ผลกรรมทันตาเห็น ปรากฏว่าพวกค้นหาสมบัติในถ้ำ พากันหาทางออกจากถ้ำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่จุดคบไฟสว่าง พวกเดียวกันแท้ ๆ ก็มองไม่เห็นกันต่างหลงทางเดินร้องตะโกนเรียกหากันโหวกเหวกอยู่ 15 วัน อดข้าว อดน้ำแทบตาย จนต้องดื่มน้ำปัสสาวะตัวเองแทนน้ำ พอวันที่ 16จึงหาทางออกจากถ้ำได้ นับเป็นเรื่องเร้นลับอาถรรพณ์ น่าพิศวง
ค้นหาด้วยฌาน
มีอยู่วันหนึ่ง พระอาจารย์คำดี พาชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาจากศีรสะเกษ โดยตั้งใจจะไปถ้ำมืดนั้นเพื่อหาเหล็กไหล พระพุทธรูปมาบูชา ถ้าจะไปเพียงลำพัง ก็กลัวอันตราย จำพากันมาหาหลวงปู่คำคะนิง เพื่อนิมนต์ให้ไปคุ้มครองอันตราย
หลวงปู่คำคะนิงอยากจะพิสูจน์ความจริงเรื่อง “ถ้ำมืด” นี้ให้กระจ่างออกมา จึงรับนิมนต์ชาวบ้านว่าจะไปด้วย จากนั้น จึงเดินทางไปยังถ้ำมืดพร้อมกับคณะของอาจารย์คำดี เมื่อเข้าไปในถ้ำได้พบว่า เป็นถ้ำกว้างใหญ่มาก ถ้าติดฟืนไฟให้สว่างขึ้นในถ้ำมืดนั้นสามารถจะใช้เป็นห้องประชุมผู้คนได้เป็นหมื่น ๆ คนทีเดียว ในถ้ำมีค้างคาวอาศัยอยู่มาก มีลำธารไหลลอดใต้ภูเขาอยู่ในถ้ำ มีบาตรโบราณเก่า ๆ บรรจุพระเครื่องหักชำรุดและผ้าไตรผุเปื่อยซุกอยู่ซอกถ้ำแห่งหนึ่ง แสดงว่ามีคนเข้ามาบูชาเอาพระเครื่องไปหรือแก้บนผีสางเทวดา หลวงปู่คำคะนิงได้ออกเดินสำรวจดูถ้ำมืด ใช้คบไฟจุดให้แสงสว่าง สำรวจตรวจดูทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ไม่พบว่ามีช่องทางจะทะลุเข้าไปข้างในได้อีกเลย มันเป็นถ้ำตันขนาดใหญ่ คล้ายห้องโถงที่มีทางเข้าและออกทางเดียวเท่านั้น
เมื่อหาทางเข้าไปพบ คณะของอาจารย์คำดี เข้าใจว่า คงเป็นเพราะผีบังไว้ หรือเจ้าของเขาไม่เปิดทางให้ จึงตกลงกันทำพิธีบวงสรวงเพื่อขอต่อเจ้าที่ ทุกคน นั่งล้อมวงกัน และนั่งสมาธิ ส่วนหลวงปู่คำคะนิง ได้ปลีกตัวออกมาลำพัง และนั่งสมาธิ เพื่อตรวจดูด้วยตาทิพย์
เมื่อหลวงปู่คำคะนิงนั่งเข้าฌานตรวจสอบด้วยทางใน เห็นนิมิตปรากฏสว่างจ้าขึ้นตรงมุมถ้ำด้านหนึ่ง มองเข้าไปตรงผนังถ้ำเห็นใสกระจ่างคล้ายผนังถ้ำทำด้วยแผ่นกระจก ในผนังถ้ำนั้นมีบ่อน้ำหิน ในบ่อน้ำนี้มีหินก้อนหนึ่งแช่อยู่รูปร่างคล้ายจระเข้ เสียงในนิมิตบอกว่า ให้ข้ามหรือลอดใต้ท้องจระเข้หินนี้เข้าไป แล้วจะพบประตูลับแลเข้าสู่ถ้ำชั้นใน
เมื่อทราบแล้วดังนั้น หลวงปู่คำคะนิงจึงได้ออกจากสมาธิแล้วออกเดินสำรวจถ้ำมืดอีกครั้ง โดยตรงไปที่ผนังถ้ำที่ปรากฏเห็นในนิมิตก็พบด้วยความประหลาดใจว่า มีหินย้อยลงมาคล้ายหลืบฉากเล็ก ๆ ซึ่งตอนแรกเดินตรวจดูอย่างละเอียดแล้วไม่ได้พบหินย้อยตรงนี้ ดูคล้ายตาเซ่อไปเองหรือไม่ก็มีอะไรบังตาไว้ยังงั้นแหละ หลวงปู่คำคะนิงจึงนั่งยอง ๆ ลงชะโงกเข้าไปดูในซอกหลืบหินย้อยนี้ก็พบว่า เป็นซอกมุมทำเลพิกล มีรูดำมืดเข้าไป เป็นรูขนาดคนธรรมดามุดคลานเข้าไปได้ทีละคน แต่เมื่อเข้าไปแล้วจะเป็นรู้ตันหรือข้างในเป็นเหวลึกยังไม่รู้ อาจเป็นรูเข้าสู่ที่อยู่อาศัยของงูเหลือมยักษ์ก็เป็นได้
จากนั้น หลวงปู่คำคะนิง จึงเดินมาหาคณะของพระอาจารย์คำดี บอกว่าพบทางเข้าถ้ำแล้ว มา จะพาไปดู... ทุกคนตามไปดู เมื่อเห็นทางเข้า ไปรูเล็กๆ ที่ต้องมุดเข้าไปทีละคน.. ด้วยความกลัว สุดท้าย ไม่มีใครกล้าเข้าไปในถ้ำ เพราะหลายคนเมื่อนั่งสมาธิ เห็นนิมิตงูใหญ่ เลื้อยอยู่ในถ้ำ... หลวงปู่คำคะนิง จึงเข้าไปคนเดียว และบอกให้ทุกคน ถอยห่างออกจากปากถ้ำไปไกลๆ เผื่อมีอะไรอันตรายไม่คาดคิด จะได้ปลอดภัย คณะของพระอาจารย์คำดี จึงได้แต่ถอยออกไปรออยู่ด้านนอก
มีอีหยังขอเบิ่งแหน่
หลวงปู่คำคะนิง กำหนดจิตอธิษฐานว่า
“สาธุ นโม อันว่านมัสการแด่พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ อันเป็นสรณะที่พึ่งประเสริฐสูงสุด อาตมาภาพจักขออนุญาตเข้าไปในถ้ำสถานอันลึกลับแห่งนี้ ขอปวงเทพเจ้าทั้งหลาย อันมีเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ ตลอดจนยักษ์ คนธรรพ์ และพญานาคทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ ณ ถ้ำสถานแห่งนี้ จงได้รับทราบและเปิดทางสะดวกให้แก่อาตมาภาพด้วยเถิด อาตมาภาพอยากจะขอเข้าไปดูชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นวาสนาบุญหูบุญตาม ถ้าหากมีจริงก็ขอให้ได้ดูชมสมใจ มิได้มีเจตนาโลภโมโทสันอยากได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือทรัพย์สมบัติของพวกท่านแต่ประการใดเลย”
เมื่ออธิษฐานจบแล้ว หลวงปู่คำคะนิงก็จุดเทียนเล่มใหญ่ที่เตรียมมาในย่ามหลายห่อ แล้วมุดคลานเข้าไปในรูดำมืดนั้น เข้าไปลึกประมาณสองร้อยวาก็ทะลุออก คูหาถ้ำข้างในเป็นถ้ำกว้างประมาณห้าวา เพดานสูง มีหินย้อยจากเพดานและผนังถ้ำสีขาวหม่น ๆ งดงาม บ้างเป็นพู่พวงห้อยลงมาคล้ายม่านหรือโคมระย้า พื้นถ้ำเป็นตระพักซ้อนขึ้นไปมีขั้นบันไดธรรมชาติ บนตระพักนั้นเป็นแอ่งน้ำใสแจ๋วปานกระจก มีหินรูปร่างคล้ายจระเข้แช่ขวางอยู่ในแอ่งน้ำพอปริ่มๆ ถัดลึกเข้าไปมองเห็นปากอุโมงค์ดำมืดพอที่จะคลานมุดเข้าไปได้ ซึ่งตรงกับนิมิตในสมาธิทุกประการ
ท่านจึงกำหนดจิตอธิษฐานขึ้นดัง ๆ ว่า
“โอ๊ย...ผู้ข้า... ขอเข้าไปเบิ่งบูชาหูบูชาตาดอก ถ้ามีอีหยังขอเบิ่งแหน่ บ่มีเจตนาอย่างอื่นใดดอก”
เป็นภาษาไทยอีสานมีความหมายว่า ตัวข้าหรือกระผม ขอเข้าไปดู เพื่อบูชาหูบูชาตา ถ้ามีอะไรขอดูหน่อย ไม่มีเจตนาอย่างอื่นใดหรอก
ทันทีที่อธิษฐานจบลง จระเข้หินจมตัววูบลงไปกบดานอยู่ใต้น้ำราวมีชีวิต อนุญาตให้หลวงปู่คำคะนิง ลุยน้ำข้ามหลังมันไปโดยสะดวก จากนั้นก็คลานมุดเข้าไปในปากอุโมงค์ดำมืดนั้น
อุโมงค์ลาดต่ำลึกลงไปยาวประมาณสามสิบวา ก็ทะลุถึงอีกคูหาถ้ำ เป็นถ้ำกว้างพอสมควรเพดานสูงโค้ง มีหินย้อยใหญ่น้อยทั้งยาวและสั้น สีต่าง ๆ เช่น น้ำตาลอ่อน ขาวนวล แดงและเหลืองรูปร่างแปลก ๆ คล้ายจีบม่านแพรเป็นริ้ว ๆ ก็มี คล้ายสายน้ำตกก็มี สลับซับซ้อนคล้ายตำหนักที่เทพเจ้าสร้างไว้ เมื่อกระทบแสงไฟเทียนจะเกิดประกายระยิบระยับ ดุจโรยด้วยกากเพชร สวยงามวิจิตรพิสดารมาก
พุทโธคุ้มหัว
ตรงกลางถ้ำมีสิ่งมีชีวิตร่างหนึ่งตระหง่านอยู่ ทำให้หลวงปู่คำคะนิงต้องตะลึงจังงัง สิ่งมีชีวิตนั้นคือพญางูตัวหนึ่งใหญ่เท่าต้นตาล ดำมะเมื่อมเลื่อมพราย ชูคอขึ้นสูงท่วมหัว นัยน์ตาเขียวเปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายแสงมรกต จ้องมองมายังหลวงปู่คำคะนิงอย่างน่าสะพรึงกลัว เป็นพญางูที่ไม่มีหงอน
หลวงปู่คำคะนิงเล่าถึงตอนนี้ว่า ท่านไม่รู้สึกหวาดกลัวมัน แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด จะกลัวไม่ได้ ถ้านึกกลัวจะเป็นอันตราย ต้องกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกภาวนา “พุทโธ ๆ ๆ ” ไว้ในใจเรื่อย ๆ
“ท่องพุทโธตัวเดียวนี้แหละคุ้มครองได้หมด พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์รวมลงอยู่ที่พุทโธตัวเดียวนี้แหละ พุทโธตัวเดียวเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในสากลโลกนี้ จำไว้ให้ดี คาถาของหลวงปู่มีพุทโธตัวเดียว ใช้ได้ทุกอย่างแล้วแต่จะอธิษฐานเอา ”
เมื่อกำหนดจิตกาวนาพุทโธ ๆ ๆ แล้ว หลวงปู่คำคะนิงได้พูดขึ้นกับพญางูดัง ๆ ว่า “อาตมาภาพถือสัจจะที่เข้ามานี้ มาขอดูชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของท่าน ถ้ามีอะไรก็ขอดูชมให้สมใจเพื่อเป็นวาสนาบุญตาด้วยเถิด ขอดูชมเฉย ๆ ไม่เอาไปหรอก”
อุโมงค์แก้วใต้น้ำโขง
เมื่อกล่าวจบลง สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น พญางูใหญ่ลดหัวลงต่ำทันที มันเลื้อยเข้าไปข้างใน ตัวมันยาวใหญ่มาก หลวงปู่คำคะนิงยังคงยืนงุนงงถือเทียนเฉยอยู่
พญางูได้เอี้ยวคอหันมาดูแล้วผงกหัวให้คล้ายเป็นเชิงบอกให้ตามไป หลวงปู่คำคะนิงจึงถือเทียนเดินตามไปห่าง ๆ ลำตัวพญางูยาวคล้ายจะไม่สิ้นสุด ท่านเดินตามไปข้าง ๆ มัน
ครั้นแล้วมันก็หยุดลง ทำหัวก้ม ๆ เงย ๆ ลงที่พื้นถ้ำ 2 3 ครั้ง ตรงนั้นเป็นปากหลุมถ้ำดำมืด ท่านเข้าใจได้โดยวิถีจิตว่าพญางูบอกกล่าวไม่ให้ลงไปในปากถำหลุมดำมืดนั้น เพราะจะเป็นอันตรายให้ระวัง
จากนั้นพญางูได้เลื้อยตรงไปทางขวามือแล้วหันมาผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ ให้ท่านเข้าไปดู เมื่อเข้าไปดูพบว่าตรงนั้นมีหินย้อยลงมาสวยงามมาก คล้ายม่านแพรริ้ว ๆ พญางูได้ยื่นหัวของมันชะโงกเข้าไปข้าง ๆ หินย้อยรูปม่าน ปรากฏว่ามีรูใหญ่ดำมืด พญางูผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ คล้ายจะบอกให้ลงไปในรูนี้ จากนั้นมันก็เลื้อยนำทางลงไปก่อน
ท่านถือเทียนจุดสว่างลงไปในรูนี้ตามหลังมันไป ทางลงราบรื่นเกลี้ยงเกลา เพดานและผนังอุโมงค์ทางลงกระทบแสงเทียน เป็นประกายระยิบระยับพร่างพรายไปหมด คล้ายแสงดาวนับแสนนับล้านดวงในท้องฟ้า บอกให้รู้ว่าเป็นพวกแร่ธาตุอัญมณี อุโมงค์ทางลงลาดต่ำลงไปเรื่อย ๆ จากการกำหนดหมายจดจำไว้
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า
อุโมงค์นี้พุ่งตรงไปยังด้านทิศตะวันออกคือแม่น้ำโขง อุโมงค์ยาวมาก เดินจนรู้สึกเหนื่อย เทียนหมดไปหลายเล่ม เมื่อท่านหยุดยืนพักเหนื่อย พญางูก็จะหยุดบ้างแล้วเอี้ยวคอมาดูผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ คล้ายบอกให้ตามไป ท่านก็ออกเดินต่อไปอีก กะว่าเดินไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นคูหาถ้ำกว้าง วิจิตรพิสดารด้วยหินย้อยเป็นหลืบฉากคล้ายท้องพระโรง มีแสงสว่างรุ่งเรืองอันเกิดจากหินย้อยเปล่งแสงคล้ายดวงดาว
ตอนนี้เทียนที่จุดสว่างนำทางได้ดับลง หลวงปู่คำคะนิงรู้สึกหายใจไม่ออก ไม่มีอากาศหายใจ จึงกำหนดจิตอธิษฐานขึ้นว่า
“โอ๊ย...ข้าน้อย...ขอให้ได้เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เถิด ข้าน้อยอยากเบิ่ง อย่าเพิ่งให้ตายเลย”
อธิษฐานจบก็มีอากาศหายใจอย่างสดชื่น รู้สึกร่างกายหายเหนื่อยกระปรี้กระเปร่าขึ้น ตอนนี้พญางูใหญ่ซึ่งหยุดดูอยู่ได้ผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ ให้ตามไป
เมื่อออกเดินไปก็เห็นเพดานอุโมงค์ข้างบนเป็นหินสีขาวใสกระจ่างเหมือนกระจก กว้างประมาณยี่สิบวา มองขึ้นไปเห็นเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลเอื่อย เห็นท้องฟ้าอยู่เหนือน้ำด้วย
ความรู้สึกบอกว่า ข้างบนคือแม่น้ำโขง เวลานี้ท่านกำลังอยู่ในอุโมงค์แก้วเมืองบาดาลใต้แม่น้ำโขง
พญางูเลื้อยนำทางเข้าถ้ำโน้นออกถ้ำนี้ วกไปวนมาคล้ายรวงผึ้งยักษ์ แต่ละถ้ำสวยงามพิสดารด้วยหินงอกหินย้อย ตามผนังถ้ำรุ่งเรืองไปด้วยแสงแก้วมณีสีต่าง ๆ สว่างไสวเต็มไปหมด
เมืองใต้พิภพ
ไปเรื่อย ๆ 3 วัน 3 คืน ไม่ได้ฉันข้าวน้ำอะไรเลย แต่ไม่รู้สึกหิวโหยอ่อนเพลียแต่ประการใด กลับมีแต่ความรู้สึกอันสดชื่นเบิกบาน ร่างกายกระชุ่มกระชวยผาสุก อุโมงค์และคูหาถ้ำน้อยใหญ่ที่พญางูใหญ่นำเที่ยวดูชม ล้วนงามรุ่งเรืองตระการตา ทำให้เพลิดเพลินเจริญใจจนลืมเวล่ำเวลาที่ผ่านไปไม่รู้ตัว จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยอยู่ใต้พิภพ น้ำไม่ลึกมองเห็นกรวดทรายสีต่าง ๆ ระยิบระยับอยู่ใต้ขึ้นน้ำที่ใสกระจ่างปานกระจก พญางูใหญ่เลื้อยปราดลงไปในแม่น้ำแล้วหายวับไป. จะว่ามุดน้ำหนีไปก็ไม่ใช่เพราะจับตาดูอยู่ เป็นการหายไปเฉย ๆ คล้ายแสงไฟดับยังงั้นแหละ
หลวงปู่คำคะนิงตัดสินใจ เดินลุยน้ำข้ามไป พอหลวงปู่คำคะนิงขึ้นถึงฟากฝั่งตรงข้ามก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า มีรอยมนุษย์เพิ่งขึ้นจากน้ำไปใหม่ ๆ รอยนั้นเปียกน้ำอยู่ แต่ไม่เห็นตัวคน
หลวงปู่คำคะนิงก็ล่วงรู้ได้ด้วยญาณว่า แม่น้ำสายนี้ เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ขวางกั้นด่านชั้นในเข้าสู่เมืองพญานาคใต้พิภพ เมื่อพวกพญานาคหรืองูใหญ่เลื้อยลงสู่แม่น้ำนี้แล้ว จะกลายร่างจากงูใหญ่เป็นร่างมนุษย์ไปในบัดดล
แน่แล้วพญางูผู้นำทาง จะต้องเป็นเจ้าของรอยเท้ามนุษย์เปียกน้ำ ท่านจึงออกเดินสะกดรอยนั้นไป แต่เพื่อป้องกันหลงทางในตอนขากลับ จึงได้เก็บเอาก้อนหินมาวางไว้เป็นเครื่องหมาย
เดินไปได้ไม่ไกลก็เห็นคูหาถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล เพดานถ้ำอยู่สูงลิ่วเป็นรูปโค้งคล้ายโดม แสงสว่างรุ่งเรืองสดใสคล้ายอาบด้วยละอองสีทอง ทำให้จีวรย้อมฝาดของหลวงปู่กลายเป็นสีทองเข้ม ไหลออกไปสุดสายตาเป็นแสงสว่างสีชมพูอ่อน ๆ สลัวหมอกมัวมองไม่ทะลุ
ภายในกระถางบรรจุไว้ด้วยทรายทองคำเต็มสำหรับปักธูปซึ่งจุดส่งควันกรุ่น มีกลิ่นหอมตลบอบอวลชื่นใจ เชิงเทียนเป็นมณีสีแดง เทียนที่จุดมีทั้งเทียนขาว เหลือง แดง
ถัดออกไปเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบพระมหาเจดีย์ กำแพงแก้วฝังไว้ด้วยเพชรเม็ดใหญ่ ๆ ตามลวดลายกนกส่องแสงวุบวับเป็นประกาย ดุจดวงดาวนับหมื่นนับแสนดวงมาประดับไว้ ณ ที่นั้น
นอกกำแพงแก้วออกไปเป็นมหาวิหารคด และพระอุโบสถสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวประดับลวดลายด้วยเส้นลายทองคำฝังแก้วเจ็ดประการ งามรุ่งเรืองวิจิตรพิสดารน่าอัศจรรย์
“หลวงปู่ไม่ได้ฝันไปนะ ไม่ได้เข้าฌานถอดกายทิพย์ไป แต่ไปด้วยร่างกายแก่เฒ่าของปู่นี้แหละ หลวงปู่ยังเข้าไปโอบกอดพระมหาเจดีย์ทองคำเลย เป็นทองคำจริง ๆ เนื้อแน่นหนาทึบเย็นเหมือนน้ำ หลวงปู่ดูละเอียดหมด ยังได้จุดธูปเทียนในภาชนะแก้วทองสักการะเลย” หลวงปู่คำคะนิงกล่าวยืนยันเป็นถ้อยคำแข็งแรง
มนุษย์นาค
“หลวงปู่พบพระสงฆ์องค์เจ้าหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีพระเณร เงียบมาก เงียบจนกระทั่งหลวงปู่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังตึก ๆ หลวงปู่เดินเที่ยวดูหมด ไม่มีพระเณรเลยสักองค์จริง ๆ กุฏิหินอ่อนสีขาวหลังคาเป็นแก้วประพาฬปลูกไว้เรียงรายหลายสิบหลัง ปิดประตูหน้าต่างเงียบ คล้ายเป็นวัดร้าง” หลวงปู่กล่าว
“วัดนี้ไปอยู่ในถ้ำได้อย่างไรครับ”
“มีผู้สร้างขึ้นไว้ ไม่ใช่มนุษย์บนโลกสร้าง แต่ เป็นมนุษย์นาคสร้าง”
“มนุษย์นาค??”
“ก็พญานาคนั่นแหละ ที่นี่เป็นเมืองบาดาลของพวกพญานาค พวกเขานับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน พญานาคเป็นสิ่งมีชีวิตเร้นลับ เป็นกึ่งสัตว์เดรัจฉานและกึ่งเทพเจ้า มีมหิทธานุภาพมาก สามารถจำแลงกายเป็นชายหนุ่มละหญิงสาวสวยงามได้ ชอบทำบุญสร้างกุศลในพุทธศาสนา”
“หลวงปู่ทำไมไม่อยู่จำพรรษาที่นั่นล่ะครับ”
“อยู่ไม่ได้ เพราะหลวงปู่แค่ขออนุญาตเขาเข้าไปดูชมให้เป็นบุญหูบุญตาเท่านั้น”
“นอกจากวัดที่หลวงปู่เห็นแล้วมีอะไรอีกครับ”
“หลวงปู่เดินดูชมบริเวณวัดจนทั่วแล้วก็เลยไปทางสระใหญ่มีดอกบัวสีต่าง ๆ ขึ้นเต็ม ดอกบัวส่งกลิ่นหอมชื่นใจมาก มีสนามหญ้าสีเขียวตัดเรียบ มีสวนดอกไม้กว้างสุดสายตา แล้วก็มีทางเดินปูลาดด้วยแผ่นแก้วสีขาวหม่น ๆ สองข้างทางเป็นต้นไม้ทั้งดอกทั้งใบสีแปลก ๆ ลูกผลยั้วเยี้ยเลย ก็เลยเดินเข้าไปตามทางนี้ รู้สึกกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้รุนแรงยิ่งขึ้น หอมจนฉุนกึ้กขึ้นจมูกเลย หลวงปู่รู้สึกวิงเวียน”
ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก sitantara.50webs.com
เมืองบาดาลใครว่าไม่มีจริง
Reviewed by Kratuk.com
on
21:57
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: