เรื่องเล่าวิธีกำราบ "ฝรั่งไร้มารยาท" "ของในหลวง” ครั้งเสด็จเยือนประเทศออสเตรเลีย “ขอโทษ...ลืมไป...ตอนนั้นยังไม่มีประเทศออสเตรเลียเลย"



          เป็นเรื่องเล่าจาก นายกรเพชร เพชรรุ่ง ที่ได้เล่าเรื่องราวในครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเยือนประเทศออสเตรเลีย โดยมีเนื้อความที่ว่า....

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชราชาผู้มีพระจริยาวัตรงดงามยิ่งในสายตาชาวโลก


           ผมเขียนบันทึกนี้หลังจากได้อ่านพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  เรื่อง  “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ”   เป็นครั้งที่สาม   อ่านครั้งใดก็ปลื้มใจ ภูมิใจยิ่งที่เรามีกษัตริย์ผู้มีจริยาวัตรอันงดงามยิ่ง และมีพระปฏิภาณอันเฉียบแหลม  อีกทั้งยังมีพระขันติธรรมอันทำให้ทรงเป็นราชาผู้มีพระจริยาวัตรงดงามยิ่งในสายตาชาวโลก 






            เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จเยือนประเทศออสเตรเลีย พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  ในระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 12 กันยายน ปีพุทธศักราช 2505 นั้น มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น  ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์  แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ณ หอประชุมของมหาวิทยาลัย  ในครั้งนั้นได้เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดคิด กล่าวคือ นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้แสดงกิริยามารยาทอันไม่บังควรยิ่งต่อพระองค์  แต่พระองค์ได้แสดงออกถึงพระจริยาวัตรอันงดงามในฐานะกษัตริย์ที่ทรงขันติธรรม และพระราชปฏิภาณในมหาสมาคม  ทรงปราบความทระนง โอหัง หยาบคายของบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยที่แสดงกิริยามารยาทไร้วัฒนธรรมอันดีงามได้อย่างราบคาบ  อาจกล่าวได้ว่านี่คือพระเดชานุภาพที่เปล่งประกายจนทำให้คนเหล่านั้นพ่ายแพ้ด้วยพระราชดำรัสเพียงไม่กี่ประโยค  ผมอ่านครั้งใดก็อดที่จะชื่นชมในพระจริยาวัตรของพระองค์ในครั้งนั้นมิได้  ผมบรรยายมาก็เท่ากับได้ฟังพระดำรัสของพระบรมราชินีนาถ  จึงขออัญเชิญพระดำรัสเล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นมาไว้ในบันทึกนี้เพื่อร่วมกันชื่นชมในพระราชจริยาวัตรของในหลวงซึ่งเป็นพ่อหลวงในดวงใจไทยทุกคน



       “มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นถวายปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่พระเจ้าอยู่หัว  พอเราไปถึงมหาวิทยาลัย ก็ต้องเดินผ่านกลุ่มชายหญิงซึ่งเข้าใจว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น มีพวกหนึ่งยืนอยู่นอกหอประชุม ด้านที่เป็นประตูกระจกเปิดอยู่เป็นระยะๆ ทำให้มองเข้าไปเห็นและได้ยินเสียงจากเวทีข้างในได้ กลุ่มนี้บางคนแต่งกายไม่เรียบร้อยเลย แต่กลุ่มอื่นๆ  บางพวกก็ดูดี เมื่อข้าพเจ้าตามเสด็จฯ ผ่านจะเข้าไปในหอประชุม บางพวกก็ปรบมือให้ บางพวกก็มองดูเฉยๆ ไม่ยิ้มไม่บึ้ง แต่บางพวกมองดูด้วยสายตาประหลาด แล้วมีการหันไปพูดซุบซิบและหัวเราะกันก็มี ตัวข้าพเจ้าเองก็อดที่จะมองดูเขาอย่างประหลาดใจไม่ได้เหมือนกัน เพราะเห็นว่าท่วงทีที่คนบางคนยืนช่างไม่น่าดูเลย การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูจะจะเป็นเครื่องแต่งกายของพวกที่อยากจะเรียกร้องความสนใจมากกว่าที่จะให้นึกว่าเป็นนักศึกษาอันควรจะเป็นปัญญาชน




         เมื่อเราเข้าไปถึงในหอประชุมนั้น มีผู้คนเต็มไปหมดเกือบทุกที่นั่ง เป็นนักศึกษา ศาสตราจารย์ คนสำคัญของเมืองเมลเบิร์นและนักหนังสือพิมพ์ เป็นต้น  เขาจัดให้ข้าพเจ้าและผู้ติดตามนั่งอยู่ตรงที่คนดูข้างล่างแถวหน้า ส่วนพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปบนเวทีพร้อมด้วยอธิการบดี คณบดี และกรรมการของมหาวิทยาลัย เมื่อพิธีเริ่มต้น อธิการบดีก็ลุกขึ้นไปอ่านคำสดุดีพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวก่อนที่จะถวายปริญญา  ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงเอะอะเหมือนโห่ปนฮาอยู่ข้างนอก คือจากกลุ่ม “ปัญญาชน” ซึ่งยืนท่าต่างๆ ที่ไม่น่าดู เช่น เอาเท้าพาดต้นไม้บ้าง ถ่างขามือเท้าสะเอวบ้าง เสียงโห่ปนฮาของเขาดังพอที่จะรบกวนเสียงที่อธิการบดีกำลังกล่าวอยู่ทีเดียว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอารมณ์โกรธพุ่งขึ้นมาทันที เกือบจะระงับสติอารมณ์ไม่ไหว มองขึ้นไปบนเวทีเห็นบรรดาศาสตราจารย์และกรรมการมหาวิทยาลัยที่นั่งอยู่บนนั้นต่างก็หน้าจ๋อย ซีดแทบไม่มีสีเลือด  ท่าทางกระสับกระส่ายด้วยความละอายไปด้วยกันทั้งนั้น ถ้าคนกลุ่มนั้นเป็นเด็กเล็กๆ ก็คงจะมีผู้ใหญ่ลุกขึ้นออกไปตีคนละเผียะสองเผียะ เพื่อสั่งสอนอบรมให้รู้จักมารยาทของเจ้าของบ้าน แต่นี่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งสมมติว่าเป็น “ปัญญาชน” ด้วยกันทั้งนั้น ที่ส่งเสียงไม่น่าฟังออกมาอย่างผิดเวลา ผิดกาลเทศะที่สุด


          ข้าพเจ้าชำเลืองมองดูพวกเราเห็นนั่งตัวแข็งไปตามๆ กัน ครั้นอธิการบดีอ่านคำสดุดีพระเกียรติจบลง ก็ถวายปริญญา ต่อจากนั้นก็ถึงเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปพระราชทานพระราชดำรัสที่เครื่องขยายเสียงกลางเวที ยังไม่ทันจะอะไร ก็มีเสียงโห่ปนฮาดังขึ้นมาจากกลุ่ม “ปัญญาชน” ข้างนอกอีกแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามือเย็นเฉียบ หัวใจก็หวิวๆ อย่างไรพิกล  รู้สึกสงสารพระเจ้าอยู่หัวจนทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นดูพระพักตร์ท่าน ด้วยความสงสารและเห็นพระทัย แต่แล้วข้าพเจ้าเองนั่นแหละที่เป็นผู้ได้กำลังใจกลับคืนมา เพราะมองดูท่านขณะที่ทรงพระดำเนิน ไปยืนกลางเวที เห็นพระพักตร์สงบเฉย ทันใดนั้นเอง คนที่อยู่ในหอประชุมทั้งหมดก็ปรบมือเสียงสนั่นหวั่นไหวคล้ายจะถวายกำลังพระทัยท่าน  พอเสียงปรบมือเงียบลง คราวนี้ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนเวทีอีก ก็เห็นพระเจ่าอยู่หัวทรงเปิดพระมาลาที่ทรงคู่กับฉลองพระองค์ครุย แล้วหันพระองค์ไปโค้งคำนับคนกลุ่มที่ส่งเสียงอยู่ข้างนอกอย่างงดงามน่าดูที่สุด พระพักตร์ยิ้มนิดๆ พระเนตรมีแววเยาะหน่อยๆ  แต่พระสุรเสียงราบเรียบยิ่งนัก




     “ขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอันมาก  ในการต้อนรับอันอบอุ่นและสุภาพเรียบร้อยที่ท่านมีต่อแขกเมืองของท่าน” 


       รับสั่งเพียงเท่านั้นเอง แล้วก็หันพระองค์มารับสั่งกับผู้ที่นั่งฟังอยู่ในหอประชุม  ตอนนี้ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ด้วยความสะใจ เพราะเสียงฮานั้นเงียบลงทันทีราวกับปิดสวิทช์ แล้วตั้งแต่นั้นก็ไม่มีอีกเลย ทุกคนทั้งข้างนอกข้างในต่างนั่งฟังพระราชดำรัสเฉย ท่าทางดูขบคิด ข้าพเจ้าเห็นว่าพระราชดำรัสวันนั้นดีมาก รับสั่งสดๆ โดยไม่ทรงใช้กระดาษเลย ทรงเล่าถึงวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของไทยเราว่า  เรามีเอกราช มีภาษาของเราเอง มีตัวหนังสือซึ่งคิดค้นใช้ขึ้นเอง เราตั้งกฎหมายการปกครองของเราเอง ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมา 700 ปี กว่ามาแล้ว  ตอนนี้ข้าพเจ้าขำแทบแย่ เพราะหลังจากรับสั่งว่า ...700 ปีกว่ามาแล้ว...  ทรงทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออก  ทรงสะดุ้งนิดๆ  และทรงโค้งพระองค์อย่างสุภาพเมื่อตรัสว่า        “ขอโทษ...ลืมไป...ตอนนั้นยังไม่มีประเทศออสเตรเลียเลย...”        แล้วทรงเล่าต่อไปว่า แต่ไหนแต่ไรมาคนไทยเรามีน้ำใจกว้างขวางพร้อมที่จะให้โอกาสคนอื่นและฟังความเห็นของเขา เพราะเรามักใช้ปัญญาขบคิด ไตร่ตรองหาเหตุผลก่อนจึงจะตัดสินว่าสิ่งไรเป็นอย่างไร ไม่สุ่มสี่สุ่มห้าตัดสินอะไรตามใจชอบโดยไม่เหตุผล...”  


     ท่านอ่านพระดำรัสเล่าของพระบรมราชินีนาถนี้แล้วจะเกิดความรู้สึกสอดคล้องไปกับพระองค์  คือ “สะใจ”  เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนำความสง่างามมาให้ประเทศไทย และคนไทย ที่มีอารยธรรมมาก่อนประเทศออสเตรเลียในทุกด้าน นี่เป็นความภาคภูมิใจที่เรามีในหลวงที่สมบูรณ์ด้วย “ทศพิธราชธรรม”  ทรงเป็นราชาอันเป็นสง่าแห่งแคว้น  ทรงมีพระอัจฉริยภาพ พระปฏิภาณ ขันติธรรม ทรงพรั่งพร้อมจริยาวัตรอันงดงาม มีพระเดชานุภาพเป็นที่ปรากฏแก่สายตาชาวโลก"









Credit.    : http://th.13322.com/
เรื่องเล่าวิธีกำราบ "ฝรั่งไร้มารยาท" "ของในหลวง” ครั้งเสด็จเยือนประเทศออสเตรเลีย “ขอโทษ...ลืมไป...ตอนนั้นยังไม่มีประเทศออสเตรเลียเลย" เรื่องเล่าวิธีกำราบ "ฝรั่งไร้มารยาท" "ของในหลวง” ครั้งเสด็จเยือนประเทศออสเตรเลีย “ขอโทษ...ลืมไป...ตอนนั้นยังไม่มีประเทศออสเตรเลียเลย" Reviewed by Kratuk.com on 21:38 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.