อเมริกันกล่าวเหมือนต้องเลือก ระหว่างการเป็นมะเร็งกับเป็นเอดส์
การเลือกตั้งที่ผ่านมา
คนอเมริกันอึดอัดที่สุด
ถึงขั้นมีคนพูดว่าเหมือนต้องเลือก
ระหว่างการเป็นมะเร็งกับเป็นเอดส์
ไม่รู้จะเลือกอันไหนดี
รู้แต่ว่าไม่มีดีให้เลือก
เมื่อวานโลกรู้แล้ว ทรัมป์ชนะ
และเป็นการชนะแบบครึ่งๆ
(จริงๆ Popular vote แพ้นิดๆ
แต่ชนะขาดลอยที่ Electoral vote)
ผลที่ออกมา ตีความได้ว่า
คนมีสิทธิ์เลือกตั้งครึ่งหนึ่ง
ยอมรับกุ๊ยได้
แต่ไม่อาจยอมรับคนโกหกตาใสได้
(คนส่วนใหญ่เชื่อจากสิ่งที่ตัวเองรู้สึก
ตัวจริงนักการเมืองเป็นอย่างไรไม่รู้
รู้แต่ความรู้สึกของตัวเองยามเห็น
ยามได้ยินนักการเมืองพูด)
หากเปรียบทรัมป์เป็นเชื้อโรค
คนมีสิทธิ์เลือกตั้งครึ่งหนึ่งก็มองว่า
ยังไม่รู้เชื้อโรคชนิดนั้นร้ายแรงแค่ไหน
ทำให้ตายช้าหรือตายเร็ว
รู้แต่ว่า เชื้อโรคในระบบเก่า
ซึ่งฮิลลารีมีเอี่ยวอยู่ด้วยเต็มๆ
เป็นเชื้อที่ทำให้ตายเร็ว
หรืออึดอัดขาดใจตายเดี๋ยวนี้เลย
ฉะนั้น จึงขอเลือกไปตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน
นอกจากนั้น ผลที่ออกมา ยังตีความได้อีกอย่าง
คือ โซเชียลมีเดียในปัจจุบัน
มีอิทธิพลและความน่าเชื่อถือมากกว่าสื่อหลัก
(ข้างสื่อหลักจะใช้คำว่า ‘ผลพลิกล็อก’
ส่วนข้างโซเชียลมีเดียจะบอกว่า ‘รู้ตั้งนานแล้ว’
ได้ทีขี่แพะไล่กันถล่มทลายทีเดียว)
การทำโพลของสื่อใหญ่เกือบทุกสำนัก
เหมือนฟันธงชัดๆว่าฮิลลารีต้องได้
แต่หากเข้าไปอ่านความเห็น
ของผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่ายระยะหนึ่ง
คุณจะเห็นสิ่งที่ไม่มีทางเห็นจากสื่อใหญ่
เช่น คำพูดที่ว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งนี้
ไม่ใช่แค่การชิงชัยระหว่างฮิลลารีกับทรัมป์
ไม่ใช่แค่การรบราระหว่างเดโมแครตกับรีพับลิกัน
แต่ยังเป็นการงัดข้อระหว่างสื่อหลักกับโซเชียลมีเดียด้วย
ผลแพ้ชนะของการงัดข้อ
ถึงขั้นทำให้โลกยุคหน้าแตกต่างไป
การที่โพลของสื่อหลักบอกผิด
ไม่ใช่แค่ทำให้สื่อหลักเสียหน้า
แต่ทำเอาหมดความน่าเชื่อถืออย่างส้ินเชิงทีเดียว
วันนี้คนอเมริกันเชื่อไปแล้วว่า
โพลของสื่อหลัก ถูกชักใยจากเบื้องหลัง
เพื่อชี้นำมวลชนให้เกิดอุปาทานหมู่
หาใช่โพลแสดงแนวโน้มความจริงอีกต่อไป
สื่อหลักเชื่อไม่ได้
แล้วผู้คนจะยึดอะไรเป็นความเชื่อแทน?
สถานการณ์โลกปัจจุบันซับซ้อน
และโซเชียลมีเดียก็ถ่ายทอดความจริงได้ชัดลึกกว่าสื่อหลัก
สื่อหลักจะกรองเอาข่าว
ที่ตนมองเห็นไกลๆ หรือได้รับใบสั่งมานำเสนอ
แม้คนดูจะเห็นหน้าและรู้ชื่อผู้สื่อข่าว
ก็ไม่มีทางสืบทราบเลยว่าเบื้องหลังนั้น ใครเป็นคนสั่งให้พูด
ขณะที่โซเชียลมีเดียจะเอาสิ่งที่ตนประจักษ์กับตามาแฉ
และคุณก็สามารถ ‘คลิกชื่อ’ เพื่อเจาะลึกเข้าถึงตัวผู้พูดได้
สืบได้ว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ น่าจะพูดเองหรือใครสั่งให้พูด
หากมองข้ามผลแพ้ชนะระหว่างบุคคล
ไปเห็นสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น
คุณจะตระหนักว่าโลกยุคต่อไป
โซเชียลมีเดียคือหางเสือแทนสื่อหลักแน่ๆแล้ว
ข้อความที่อยู่ในโซเชียลมีเดีย
จะจริงหรือไม่จริง หรือมีเบื้องหลังชักใยจากที่ใดก็ตาม
ขอเพียงดราม่าแรงพอจะกลายเป็นจุดสนใจได้เถอะ
ข้อความนั้นจะกลายเป็นข่าวดัง
เข้าสู่การรับรู้ระดับประเทศ
หรือระดับโลกได้ในชั่วข้ามคืนทันที
กับทั้งสามารถกำหนดพฤติกรรม คำพูด
และความคิดของผู้คนหมู่มาก
ให้ไหลเชี่ยวกรากตามๆกันได้แบบเฉียบพลันด้วย
ตีความในแง่ของกรรม
ยุคต่อไป จะเป็นยุคที่กรรมหมู่มีพลังเข้มข้นขึ้น
ขณะเดียวกันก็มีสภาพปรวนแปรสุดขีด
กล่าวคือ ต่างจากในอดีต ที่คนทำกรรมภายใต้ศรัทธา
หรือความเชื่อเฉพาะตนบางอย่าง
ทว่าปัจจุบันและอนาคต
ผู้คนจะพากันทำกรรมแบบ ‘พวกมากลากไป’ เป็นวันๆ
วันหนึ่งเห็นเขาอวดคลิปน่าชม ก็ร่วมชมกันสุดๆ
อีกวันมีคนแฉคลิปน่าชัง ก็ร่วมชังกันหน้าเขียว
หายากที่จะตกผลึกทางมโนกรรมเฉพาะตนอย่างแท้จริง
หายากที่จะก่อวจีกรรมโดยไม่ได้รับอิทธิพลจากกระแสหลัก
สรุปคือ เรากำลังเผชิญกับมหาสึนามิจากคลื่นกรรมหมู่
ต้องรีบหาจุดยืน หรือเลือกยึดชัยภูมิดีๆไว้
ยกตัวอย่างเช่น
วัฒนธรรมการโจมตีความเห็นต่างที่เกิดขึ้นทั่วโลก
จะมีคีย์เวิร์ดเหมือนๆกัน
ใครคิดไม่ได้อย่างตนคือโง่
ใครเห็นต่างจากตนคือบ้า
เสร็จแล้วก็มีคนแบบหนึ่ง เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
เช่น มองว่าศาสนาทำให้คนโง่ บ้า
ถ้าคุณไม่มีจุดยืนชัดพอ
ไม่มีคำอธิบายดีๆจากประสบการณ์ตรงแข็งแรงพอ
ในที่สุดก็อาจถูกสึนามิซัดพา
จมหายตามเขาไปอย่างง่ายดาย!
ที่มา : Dungtrin
อเมริกันกล่าวเหมือนต้องเลือก ระหว่างการเป็นมะเร็งกับเป็นเอดส์
Reviewed by Kratuk.com
on
19:44
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: